Health & Beauty

Beauty Bargains for You

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กระเจียวบัว แก้โรคหืด

กระเจียวบัว แก้โรคหืด

ตำรายาสมุนไพร แต่ละภาคจะแตกต่างกันไปตามลักษณะการนำพืชสมุนไพรแต่ละชนิดไปเป็นส่วนประกอบ บางครั้งตัวยาชนิดเดียวกันหมอยาพื้นบ้านแต่ละภาคนำไปผสมกับตัวยาอย่างอื่นสามารถใช้รักษาโรคได้ไม่เหมือนกัน ซึ่งกระเจียวบัวเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่หมอยาพื้นบ้านภาคอีสานนิยมนำไปใช้เป็นยาแก้โรคหืดมาแต่โบราณ โดย มีวิธีง่ายๆคือ เอาเหง้าหรือหัวของกระเจียวบัว แบบสดหรือแบบแห้งก็ได้ กับใบของต้น หนุมานประสานกาย แบบสดหรือแห้งก็ได้เช่นกัน น้ำหนักเสมอกัน กะมากน้อยตามต้องการ ต้มกับน้ำจนเดือดแล้วเทดื่มขณะอุ่นประจำหรือเรื่อยๆ จะช่วยให้ อาการของโรคหืดค่อย ๆ ดีขึ้น หากเป็นมานานก็ต้องใช้เวลาหน่อย เพิ่งเป็นใหม่ๆดื่มไม่นานอาจหายได้ อย่างไรก็ตามโรคหืดเป็นโรคเฉพาะ เมื่อเป็นแล้วจะทรมานมาก หายใจไม่สะดวก เหนื่อยง่าย เป็นมากๆหรืออาการกำเริบหนักต้องไปพบแพทย์จ่ายยาให้รับประทานเป็นประจำและพ่นยาช่วยขยายหลอดลมทำให้หายใจได้ดีขึ้น ซึ่งคน ที่เป็น โรคหืดจะรู้ดีเกี่ยวกับข้อปฏิบัติหรือข้อห้ามที่จะช่วยป้องกันไม่ให้โรคหืดกำเริบว่ามีอะไรบ้าง เช่น ไม่กินน้ำเย็น หรือน้ำแข็ง งดอาหารที่มีมัน ต่างๆ อย่าอาบน้ำหลังห้าโมงเย็นเด็ดขาด ห้ามเป่าพัดลมเวลานอน หน้าอกจะต้องอบอุ่นตลอดเวลา เหล้าเบียร์และบุหรี่เลิกเลย สุดท้ายต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอควบคู่กับการพบแพทย์ประจำ หรือเอากระเจียวบัว กับใบของต้นหนุมานประสานกาย ต้มน้ำดื่มด้วยจะช่วยได้อีกทางหนึ่ง
กระเจียวบัว แก้โรคหืด


กระเจียวบัว หรือ CURCUMA SPAR GANIfOLIA GAGNEP. อยู่ในวงศ์ ZINGIBERACEAE เป็นไม้ล้มลุกจำพวกมีหัวหรือเหง้าใต้ดิน ต้นสูง 15-30 ซม. ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปใบคล้ายกับใบขิง ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ลักษณะดอกคล้ายดอกกระเจียว เป็นสีชมพูหรือสีแดง ปลายมีแต้มสีขาวหรือเขียว มีดอกเป็นสีขาวซ่อนอยู่ในซอกของกลีบเลี้ยง ผล รูปค่อนข้างกลม มีเมล็ด เนื้อหุ้มเมล็ดเป็นสีขาว เป็นไม้เจริญเติบโตดีในฤดูฝน ทรุดโทรมหรือตายในช่วงฤดูแล้ง โดยจะฝังหัวอยู่ใต้ดิน เมื่อถึงฤดูฝนมีเม็ดฝนโปรยปรายลงมาจะแตกต้นขึ้นมาใหม่ เป็นวัฏจักร พบขึ้นทั่วไปตามป่าทุกภาคของประเทศไทย พบมากที่สุดทางภาคอีสาน ที่ จ.อุบลฯ เรียกว่า ต้นชู้กระเจียว ครับ

โรคหอบหืด

โรคหอบหืด หรือโรคหืด เป็นผลจากการหดตัว หรือตีบตันของกล้ามเนื้อ รอบหลอดลม ช่องทางเดินหายใจส่วนหลอดลม ทำให้หายใจขัด และอากาศเข้าสู่ปอดน้อยลง ปัจจัยที่ทำให้เกิดการตีบตันของหลอดลมคือ

1) การหดตัวของกล้ามเนื้อรอบๆ หลอดลม
2) การบวมอักเสบของเยื้อบุภายในหลอดลม
3) เสมหะจำนวนมากที่คั่งค้างอยู่ภายในหลอดลม

การอักเสบของเยื้อบุหลอดลมส่วนใหญ่มักเป็นแบบเรื้อรัง เกิดเนื่องจากหลอดลม มีการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ อย่างรุนแรงมากกว่าปกติ ซึ่งการอักเสบนี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกำเริบเป็นช่วง ๆ ผู้ป่วยโรคหืดบางรายอาจมีอาการน้อย แต่บางรายอาจเป็นมาก จนอันตรายถึงชีวิตได้

ภาวะที่กระตุ้นให้โรคกำเริบ จะแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย ตัวอย่างภาวะ หรือสิ่งที่กระตุ้นให้โรคกำเริบ คือ การหายใจเอาสารที่แพ้เข้าไปในหลอดลม ภาวะติดเชื้อโพรงจมูกอักเสบ กลิ่นน้ำหอม ยาฆ่าแมลง กลิ่นอับ กลิ่นท่อไอเสีย กลิ่นบุหรี่ ภาวะอากาศเปลี่ยน การออกกำลังกาย โรคทางเดินอาหารบางโรค ภาวะแพ้สี สารสี สารเคมีต่างๆ และภาวะเครียด

สองในสามของผู้ป่วยเด็ก ที่เป็นโรคหอบหืด จะมีภาวะภูมิแพ้ด้วย แต่ในผู้ใหญ่ส่วนมากจะไม่มีภาวะภูมิแพ้

ผลจากการประเมินอุบัติการณ์ของโรคหอบหืด

โดยองค์การอนามัยโลก (World Health Organization หรือ WHO) พบว่าผู้ป่วยโรคหืดมีอยู่ประมาณ 10-13% ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยพบในเด็กชาย มากกว่าเด็กหญิงเล็กน้อย นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้ป่วยโรคหืด ประมาณ 100-150 ล้านราย และมีจำนวนผู้เสียชีวิตประมาณ 50,000 รายต่อปี โดยมีแนวโน้มว่าจำนวนผู้ป่วยโรคหอบหืด จะเพิ่มขึ้นทั่วโลกด้วย

การวินิจฉัยโรคหอบหืด ในเด็กทั่วไปแล้วจะยากกว่าผู้ใหญ่ เพราะเด็กจำนวนไม่น้อย อาจไม่มีอาการหอบหืด หรือหายใจขัด แต่มีอาการไอเป็นชุดๆ มากับหวัดเรื้อรังที่กำเริบเป็นระยะ บางที่อาจไอจนอาเจียน ส่วนมากเกิดขึ้นเวลากลางคืน ส่วนใหญ่ประวัติการเจ็บป่วยของเด็ก จะไม่ค่อยสมบรูณ์ เพราะข้อมูลได้มาจากแม่เด็ก พี่เลี้ยง ครูที่โรงเรียน หรือตัวเด็กเอง อาการสำคัญ คือ ไอตอนเช้า กลางคืนตอนดึก ไอเวลาวิ่งเล่น หรือหลังวิ่งเล่น คัดจมูก น้ำมูกไหลร่วมด้วย ในเด็กเล็กที่หอบอาจมีสาเหตุอื่น ที่ไม่ใชโรคหอบหืด เช่นโรคหัวใจ โรคติดเชื้อในปอด สารแปลกปลอม ถั่ว ข้าวโพด ติดในหลอดลม หรือโรคทางเดินอาหารบางชนิด

การติดเชื้อไวรัสของระบบทางเดินหายใจ เป็นสาเหตุที่ทำให้ โรคหอบหืดกำเริบ ส่วนใหญ่ของเชื้อไวรัส ติดมาจากโรงเรียน หรือที่ชุมชน เด็กจำนวนมากที่แพ้สารต่างๆ เช่น ไรฝุ่น เชื้อรา แมลงสาบ และอื่นๆ จำเป็นที่จะต้องตรวจให้แน่นอน และชัดเจนว่ามีโรคภูมิแพ้ร่วมด้วยหรือไม่

การรักษาโรคหอบหืดจะต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน

ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค อายุผู้ป่วย และภาวะที่เกิดร่วมกับโรคหอบหืด เช่น ภาวะภูมิแพ้ หรือโพรงจมูกอักเสบเรื้อรัง โดยทั่วๆ ไป แนวทางรักษาที่ยอมรับโดยผู้เชี่ยวชาญมีอยู่ 4 ข้อ ดังนี้

- แนะนำให้ใช้การตรวจสอบ สมรรถภาพของปอด เพื่อบ่งชี้ความรุนแรงของโรค และเพื่อติดตามวัดผล

การรักษา

- การใช้ยาเพื่อลดการอักเสบ หรือป้องกันการอักเสบของเยื่อบุหลอดลม ร่วมกับการใช้ยาเพื่อคลายกล้ามเนื้อ รอบหลอดลมที่หดตัว

- การควบคุมภาวะแวดล้อมต่างๆ โดยเฉพาะในผู้ป่วย ที่มีภาวะภูมิแพ้ร่วมกัน รวมถึงการรักษาเฉพาะเจาะจง ในภาวะภูมิแพ้

- ต้องให้ความรู้ผู้ป่วย และครอบครัว เกี่ยวกับโรคหอบหืด และการปฎิบัติตน เช่น เลิกสูบบุหรี่ วิธีการออกกำลังกาย และวิธีใช้ยาที่ถูกต้อง

การรักษาอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคหอบหืด ผู้ป่วยส่วนใหญ่ หรือแพทย์ส่วนใหญ่จะมองข้ามจุดสำคัญนี้ ทำให้ผลการรักษาไม่เป็นที่พอใจ ของทั้งสองฝ่าย ผู้ป่วยก็ว่าไม่หายซักที หมอก็ว่าผู้ป่วยไม่รู้เรื่อง ไม่ทำตามที่เนะนำ


ผลการรักษาที่ควรเกิดขึ้นมีดังนี้
- สมรรถภาพปอดดีขึ้น
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ หรือเกือบปกติ
รวมทั้งการออกกำลังกาย
- อาการเรื้อรังที่น่าเบื่อหน่าย สำหรับผู้ป่วยสิ้นสลายไป เช่น อาการไอ
หายใจขัด แน่นหน้าอก
- ป้องกันการกำเริบของโรคได้
- ผลข้างเคียงจากยาควรจะไม่มี หรือมีน้อยที่สุด

ความเข้าใจที่สำคัญมาก คือ การอักเสบของเยื่อบุหลอดลม ในโรคหอบหืดนี้เป็นการอักเสบอย่างเรื้อรัง และต่อเนื่องที่กำเริบได้เป็นระยะ แม้เวลาที่คนไข้รู้สึกดีไม่มีอาการไอ หรือหอบ ภาวะการอักเสบนี้ยังคงอยู่ตลอดเวลา

ยาหลักที่ใช้ในการรักษา

1. ยาต้านการอักเสบ

ยาสเตียรอยด์ เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูง ในการรักษาโรคหอบหืด สำหรับผู้ป่วยเด็กและผู้ใหญ่ ยานี้มีทั้งรูปแบบยาเม็ด สำหรับรับประทาน , ยาฉีด และรูปแบบพ่นเข้าหลอดลมโดยตรง ยาในรูปแบบพ่นถือได้ว่า เป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษา ของผู้ป่วยหอบหืดเรื้อรัง และมีความปลอดภัยสูง เพราะปริมาณยาที่ถูกดูดซึมเข้าร่างกายน้อย ซึ่งในปัจจุบันยังไม่พบผลข้างเคียง รุนแรงใดๆ จากการใช้ยากลุ่มนี้ ส่วนยาในรูปแบบรับประทาน จะใช้เมื่อมีอาการกำเริบรุนแรง หรือไม่สามารถพ่นยาได้ และจะใช้ในระยะสั้นๆ เท่านั้น คือ ประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่หากรับประทานติดต่อกัน เป็นระยะเวลานาน อาจพบผลข้างเคียงขึ้นได้ เช่น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตสูง ตาเป็นต้อ กระดูกผุ กล้ามเนื้ออ่อนแรง และบวมตามที่ต่างๆ ยาสเตียรอยด์ชนิดรับประทาน และฉีด ไม่ใช่เป็นยาที่ใช้อย่างต่อเนื่อง

2. ยาขยายหลอดลม

ยาประเภทนี้ จะช่วยขยายหรือคลายกล้ามเนื้อรอบๆ หลอดลมที่หดเกร็งตัว

2.1 ยากลุ่มเบต้าอะโกนิส: ที่ใช้แพร่หลายคือ ยาพ่น แบบน้ำและแบบผง อีกทั้งยังเป็นยาเม็ด และยาน้ำในรูปแบบรับประทาน รวมทั้งรูปแบบที่ใช้กับเครื่องปั๊ม ยากลุ่มนี้มีประสิทธิภาพ ในการขยายหลอดลมสูง ยาพ่นนิยมใช้ในผู้ป่วย ที่มีอาการกำเริบเฉียบพลัน แต่ไม่ควรใช้ติดต่อเป็นระยะเวลานาน เพราะจะทำให้อาการแย่ลงในภายหลัง เพราะไม่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุที่แท้จริงของโรคหอบหืด , ยาสูดพ่นเป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

2.2 ยากลุ่มแซนทีน: ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และขยายหลอดลม สำหรับใช้ในผู้ป่วยหอบหืดเรื้อรังบางกลุ่ม ในปัจจุบันจะพบได้ทั้งยาฉีด ยาน้ำ และยาเม็ด ทั้งรูปแบบธรรมดา และออกฤทธิ์นาน เพื่อเพิ่มความสะดวกในการรับประทาน ผลข้างเคียงพบได้น้อย

3. ยาพ่นที่เป็นยาผสมระหว่างยาสเตียรอยด์ และยาขยายหลอดลม ชนิดที่มีฤทธิ์คงอยู่นาน อยู่ในหลอดเดียวกัน

เป็นยาที่ได้รับการพัฒนาเพื่อให้สะดวกในการใช้ มีฤทธิ์ต้าน และลดการอักเสบ ของเยื่อบุหลอดลม พร้อมกับขยายหลอดลมไปในเวลาเดียวกัน ยาแต่ละชนิดที่ผสมกันอยู่ ยังมีฤทธิ์เสริมกันอีกด้วย ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ ก่อนใช้ยากลุ่มนี้

4. ยาอื่นๆ เช่น ยาแก้ไอ ขับเสมหะ หรือยาที่เรียกว่า ยาเสริมภูมิ (คีโตติเฟน) ไม่มีผลโดยตรง ต่อการต้านการอักเสบของหลอดลม และไม่ใช่ยาหลักที่ใช้ในการรักษาโรคหอบหืด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น